วันนี้เป็นวันที่เจ๊ไนล์เสียใจที่สุดวันนึง วันนี้เป็นวันที่แม่นิวจากเจ๊ไนล์ไป หนูเป็นหมาที่น่ารักที่สุดของเจ๊ไนล์ ตั้งแต่วันแรกที่เจ๊ไนล์ได้แม่นิวมาจนถึงวันนี้ ไนล์ไม่เคยคิดผิดเลย แม่นิวเป็นน้องที่ดีของเจ๊ไนล์ และเป็นแม่ที่ดีของลูกๆ เจ๊ไนล์ดีใจที่มีหนูคอยอยู่กับเจ๊ไนล์ เวลา6ปีที่ผ่านมา เราสนุกมาด้วยกัน ถึงวันนี้ หนูจากเจ๊ไนล์ไปแล้ว หนูทิ้งให้เจ๊ไนล์เสียใจอยู่คนเดียว ไม่มีหนูคอยปลอบเจ๊ไนล์ เจ๊ไนล์ขอสัญญาว่า เจ๊ไนล์จะไม่มีวันลืมน้องของเจ๊ไนล์ ถ้าชาติหน้ามีจริงเจ๊ไนล์ขอให้ได้เลี้ยงหนูอีกนะ<ยัยหมาบ๊องของเจ๊ไนล์>
รักหนูตลอดไป
Risking
Two sees lay side by side in the fertile soil.The fiest seed said. " I want to grow! Iwant to send my roots deep in to the soil beneath me, and thrust my sprouts through the earth's crust above me...I want to unfurl my tender buds like banners to announce the arrival of spring... I want to feel the warmth of the sun on my face and the blessing of the moring dew on my petals!"And so she grew.The secound seed said, "I am afraid. If I send my root into the ground below, I don't know what I will encounter in the dark. If I push my way through the hard soil above me I may damage my delicate sprouts...what if I let my buds open and snail tries to eat them> And if I were to open my blossoms, a small child may pull me from the ground. No, it is much better for me to wait until it is safe."And so she waited.A yard hen scratching around in the early spring ground for food found the waiting seed and promptly ate it.
The MORAL of this story is
Those of us who refuse to risk and grow
get swallowed up by life.
The MORAL of this story is
Those of us who refuse to risk and grow
get swallowed up by life.
ฉี่บ่อยระวังโรคร้ายถามหา
การปัสสาวะบ่อย ๆ นอกจากจะรบกวน การดำเนินชีวิตประจำวันแล้ว อาจเป็นสัญญาณของโรคร้ายบางชนิดที่ทุกคนจะต้องพึงระวัง เกี่ยวกับเรื่องนี้ นพ.วสันต์ เศรษฐวงศ์ หน่วยศัลยกรรมระบบทางเดินปัสสาวะ กลุ่มงานศัลยศาสตร์ โรงพยาบาลเลิดสิน อธิบายว่า อาการปัสสาวะบ่อย ในทางการแพทย์ หมายถึง ปัสสาวะมากกว่า 6 ครั้งในตอนกลางวัน หรือ มากกว่า 2 ครั้งในตอนกลางคืนหลังเข้านอน คนที่อายุมากขึ้น โอกาสพบปัสสาวะบ่อยก็มากขึ้นด้วย โดยคนที่อายุน้อยกว่า 40 ปี มีโอกาสพบ 4% ในขณะที่คนอายุมากกว่า 60 ปี มีโอกาสพบถึง 15% ซึ่งอาการปัสสาวะบ่อยในคนหนุ่มสาวมักจะหาสาเหตุได้ง่ายกว่าในผู้สูงอายุที่อาจเกิดจากหลายสาเหตุ ปัจจัยหรือสาเหตุของอาการปัสสาวะบ่อยมีดังนี้ กลุ่มที่ไม่ได้เป็นโรค เกิดจาก การดื่มน้ำมาก ทำงานในสภาวะอากาศที่เย็น ดื่มเครื่องดื่มที่ผสมกาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ มีภาวะเครียด หรือการรับประทานยาบางชนิด เช่น ยาขับปัสสาวะ กลุ่มที่เป็นโรค แบ่งเป็น 2 ส่วนด้วยกัน คือ1. ส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินปัสสาวะ เช่น โรคเบาหวาน โรคเบาจืด 2. ส่วนที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินปัสสาวะโดยตรง เช่น กระเพาะปัสสาวะอักเสบ โดยเฉพาะวัยหนุ่มสาว พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย มักเกิดขึ้นหลังจากกลั้นปัสสาวะนาน ๆ ผู้ป่วยจะมีอาการปัสสาวะบ่อย แสบขัด ไม่สุด ปวดท้องน้อย และอาจมีเลือดปนออกมา ถ้าไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง อาการอักเสบอาจลุกลามไปที่กรวยไต ผู้ป่วยอาจมีไข้สูง หนาวสั่น คลื่นไส้ อาเจียน นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ พบในผู้ชายมากกว่า ผู้ป่วยมีอาการปัสสาวะขัด ๆ ไม่พุ่ง หยุดสะดุดเป็นช่วง ๆ ระหว่างปัสสาวะ เมื่อตรวจปัสสาวะพบเม็ดเลือดแดง เอกซเรย์จะพบนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ มะเร็งของกระเพาะปัสสาวะ พบบ่อยในผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ผู้ป่วยจะมีอาการปัสสาวะเป็นเลือดเพียงอย่างเดียว โดย ไม่มีอาการอื่นร่วมด้วย แต่บางครั้งอาจมีปัสสาวะบ่อย แสบขัด ต้องอาศัยการตรวจรังสีวินิจฉัย หรือส่องกล้อง กระเพาะปัสสาวะทำงานไม่เสถียร หรือ โอเอบี เป็นโรคที่พบได้บ่อย โดยพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายถึง 10 เท่า ผู้ป่วยจะมีอาการปัสสาวะบ่อยมาก อาจถึง 30 ครั้งต่อวัน กลั้นปัสสาวะไม่ได้ ปัสสาวะแต่ละครั้งออกไม่มาก บางรายอาจปัสสาวะไม่สุด ปวดท้องน้อยร่วมด้วย อาการดังกล่าวมักเป็นมานานแล้ว เนื่องจากโรคนี้เกิดจากการทำงานที่ไวผิดปกติของกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะ นอกจากนี้อาการปัสสาวะบ่อย อาจเกิดจากความผิดปกติของอวัยวะข้างเคียง ที่มีผลต่อการทำงานของกระเพาะปัสสาวะ เช่น นิ่ว ในท่อไตส่วนล่าง ท่อปัสสาวะอักเสบจากโรคหนองในแท้ และหนองในเทียมท่อปัสสาวะ ฝ่อหลังวัยทองในผู้หญิง ต่อมลูกหมากโตจากมะเร็งต่อมลูกหมาก หรือ ต่อมลูกหมากอักเสบเรื้อรัง และท้องผูกเรื้อรัง การวินิจฉัยโรค แพทย์จะอาศัยการซักประวัติผู้ป่วยอย่างละเอียด ร่วมกับการตรวจร่างกาย และการตรวจทางห้องปฏิบัติการ การตรวจรังสีวินิจฉัย หรือการตรวจด้วยวิธีพิเศษ การรักษาอาการปัสสาวะบ่อยนั้น ขึ้นอยู่กับโรคที่เป็นสาเหตุ โรคบางชนิดทานยาก็หาย เช่น กระเพาะปัสสาวะอักเสบ กล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะทำงานไม่เสถียร แต่บางชนิดอาจจะต้องผ่าตัด เช่น มะเร็งต่อมลูกหมาก นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ส่วนคนที่ไม่ได้เป็นโรคก็ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรม จากที่เคยดื่มน้ำมาก ก่อนนอนก็ต้องงดหรือดื่มน้อยลง ท้ายนี้ขอแนะนำ ว่า คนที่มีอาการปัสสาวะบ่อยควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว เพราะรักษาแต่เนิ่น ๆ นอกจากจะทำให้ชีวิตมีความสุขแล้ว ยังเป็นการรักษาโรคร้ายให้หายขาดอีกด้วย.
ที่มา http://variety.teenee.com/foodforbrain/13215.html
ที่มา http://variety.teenee.com/foodforbrain/13215.html
วิธีคิดเพื่อชีวิตเป็นบวก
เคยไหมเครียดกับปัญหา จนรู้สึกบั่นทอนกำลังใจที่จะทำสิ่งต่าง ๆ ? แต่!! รู้หรือไม่ การนำหลัก Positive Thinking มาใช้ ช่วยให้เราผ่านพ้นสถานการณ์ที่คิดว่าย่ำแย่ไปได้ เพราะความมหัศจรรย์ของการคิดบวก นอกจากจะช่วยให้ไม่กดดันตัวเองแล้ว ยังเป็นการสร้างกำลังใจให้พร้อมลุยกับปัญหาได้อย่างมั่นใจ ‘เกร็ดน่ารู้’ สัปดาห์นี้ มีวิธีคิดบวก เพื่อชีวิตที่เป็นบวกมาฝากกัน
1.สร้างความเชื่อมั่น ว่า ‘เราต้องทำได้’ ไม่ว่าจะเจอปัญหาใด ๆ ให้มองด้านบวกไว้ แม้จะคิดว่าจัดการไม่ได้ทั้งหมด แต่เชื่อเถอะว่าคุณสามารถทำให้สถานการณ์ดีขึ้นได้ หลักสำคัญคือการตั้งสติศึกษาปัญหา แล้วค่อย ๆ แก้ไข ขอเพียงหลีกเลี่ยงความคิดที่ว่า ‘ฉันทำไม่ได้แน่ ๆ’
2.สร้างจินตนาการ ช่วยให้เกิดแรงบันดาลใจที่จะต่อสู้กับอุปสรรค และอยากทำกิจกรรมอื่น ๆ ต่อไป รวมไปถึงการมีทัศนคติที่ดีต่อตนเองและผู้อื่น มองทุกอย่างด้วยความเป็นกลาง เพื่อชีวิตที่สมดุล
3.คิดถึงความสำเร็จ แม้ทางไปสู่จุดหมายจะพบอุปสรรคบ้างก็ถือเป็นเรื่องธรรมดา ที่สำคัญไม่ควรมองตัวเองว่าไม่มีความสามารถ และ ‘อย่านำตัวเองไปเปรียบกับใคร’ เพราะเราไม่ใช่ใคร และใครก็ไม่ใช่เรา แต่ละคนมีทักษะต่างกัน แค่ตั้งใจทำให้ดีที่สุดก็พอแล้ว
4.คิดมีเหตุผล เมื่อเกิดข้อผิดพลาดในเรื่องต่าง ๆ อย่าโทษตัวเองทุกเรื่อง และอย่าคิดว่าครั้งต่อ ๆ ไปก็จะผิดพลาดตลอด ควรใช้หลักการคิดอย่างมีเหตุผล เพราะหลายคนมักประเมินมาตรฐานตนเองต่ำเกินไป จึงยิ่งบั่นทอนความมั่นใจให้ลดน้อยลง
แนวทาง ‘คิดบวก’ เพียงเท่านี้ นอกจากจะช่วยโบกมือบ๊าย บาย อุปสรรคทางความคิด ‘กลัว’ แล้ว ยังเป็นการเพิ่มคุณค่าให้ชีวิตเป็นบวกได้ง่าย ๆ ด้วย.
ที่มา http://variety.teenee.com/foodforbrain/13279.html
1.สร้างความเชื่อมั่น ว่า ‘เราต้องทำได้’ ไม่ว่าจะเจอปัญหาใด ๆ ให้มองด้านบวกไว้ แม้จะคิดว่าจัดการไม่ได้ทั้งหมด แต่เชื่อเถอะว่าคุณสามารถทำให้สถานการณ์ดีขึ้นได้ หลักสำคัญคือการตั้งสติศึกษาปัญหา แล้วค่อย ๆ แก้ไข ขอเพียงหลีกเลี่ยงความคิดที่ว่า ‘ฉันทำไม่ได้แน่ ๆ’
2.สร้างจินตนาการ ช่วยให้เกิดแรงบันดาลใจที่จะต่อสู้กับอุปสรรค และอยากทำกิจกรรมอื่น ๆ ต่อไป รวมไปถึงการมีทัศนคติที่ดีต่อตนเองและผู้อื่น มองทุกอย่างด้วยความเป็นกลาง เพื่อชีวิตที่สมดุล
3.คิดถึงความสำเร็จ แม้ทางไปสู่จุดหมายจะพบอุปสรรคบ้างก็ถือเป็นเรื่องธรรมดา ที่สำคัญไม่ควรมองตัวเองว่าไม่มีความสามารถ และ ‘อย่านำตัวเองไปเปรียบกับใคร’ เพราะเราไม่ใช่ใคร และใครก็ไม่ใช่เรา แต่ละคนมีทักษะต่างกัน แค่ตั้งใจทำให้ดีที่สุดก็พอแล้ว
4.คิดมีเหตุผล เมื่อเกิดข้อผิดพลาดในเรื่องต่าง ๆ อย่าโทษตัวเองทุกเรื่อง และอย่าคิดว่าครั้งต่อ ๆ ไปก็จะผิดพลาดตลอด ควรใช้หลักการคิดอย่างมีเหตุผล เพราะหลายคนมักประเมินมาตรฐานตนเองต่ำเกินไป จึงยิ่งบั่นทอนความมั่นใจให้ลดน้อยลง
แนวทาง ‘คิดบวก’ เพียงเท่านี้ นอกจากจะช่วยโบกมือบ๊าย บาย อุปสรรคทางความคิด ‘กลัว’ แล้ว ยังเป็นการเพิ่มคุณค่าให้ชีวิตเป็นบวกได้ง่าย ๆ ด้วย.
ที่มา http://variety.teenee.com/foodforbrain/13279.html
Link Download Movie Maker
Link Movie Maker นะคะ ลองเข้าไปชมกันดู ยินดีนำเสนอคะ
http://upload.one2car.com/download.aspx?pku=254FC69844TX3KJ5EIKG[HU98IJWJY
http://upload.one2car.com/download.aspx?pku=254FC69844TX3KJ5EIKG[HU98IJWJY
งาน ข้อสอบ100ข้อ
Link ข้อสอบ 20ข้อคะ ลองเข้าไปทำกันดูนะ http://upload.one2car.com/download.aspx?pku=254FC69844YYUNC5S2O2CE5DVPATMT
เรื่องควรจำ..เกี่ยวกับระบบเผาผลาญ
ระบบเผาผลาญของเราก็คือหน่วยจารชนที่จะช่วยทำลายล้างไขมันออกไป เราจึงควรจะรู้เรื่องเกี่ยวกับระบบเผาผลาญให้มากกว่านี้ จะได้รู้ว่าต้องทำอย่างไร จารชนคนเก่งถึงจะทำงานคล่องปรี๊ดๆ
1. ยิ่งดื่มน้ำ ระบบเผาผลาญก็ยิ่งทำงานดี เพราะถ้าร่างกายขาดน้ำ ระบบเผาผลาญก็จะทำงานน้อยลงไป 2% ถ้าดื่มน้ำได้วันละ 8-12 แก้วเมื่อไร ระบบเผาผลาญจะปลื้มมากๆ
2. ชาช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญได้ แต่ต้องเป็นชาสมุนไพรอย่างชาอูหลงกับชาเขียวเท่านั้นนะ ไม่รวมชาใส่น้ำตาลเพียบที่วางขายกันโครมๆ นั่นหรอก เพราะชาสมุนไพรมีสารแคททีชินที่กระตุ้นการเผาผลาญ ทำให้ระบบเผาผลาญทำงานเพิ่มขึ้นวันละ 50 แคลอรีหรือเท่ากับเราลดน้ำหนักลงไปได้ปีละ 2 กิโลกรัม
3. ระบบเผาผลาญจะทำงานมากขึ้นช่วงก่อนมีรอบเดือนนี่คือเหตุผลว่าทำไมช่วงนี้สาวๆ ถึงเจริญอาหารอยากกินนั่นนี่ทั้งวัน เพราะหลังจากไข่ตก ฮอร์โมนในตัวเราก็จะเพิ่มขึ้นและเผาผลาญได้มากขึ้นถึง 300 แคลอรีต่อวัน
4. กินโปรตีนมากก็เผาผลาญมาก เพราะการย่อยโปรตีนต้องใช้พลังงานมากกว่าการย่อยคาร์โบไฮเดรต สาวๆ ที่คิดจะลดความอ้วนด้วยการอดโปรตีน สงสัยต้องเปลี่ยนแผนใหม่แล้วมั้ง
ที่มา http://variety.teenee.com/science/13422.html
1. ยิ่งดื่มน้ำ ระบบเผาผลาญก็ยิ่งทำงานดี เพราะถ้าร่างกายขาดน้ำ ระบบเผาผลาญก็จะทำงานน้อยลงไป 2% ถ้าดื่มน้ำได้วันละ 8-12 แก้วเมื่อไร ระบบเผาผลาญจะปลื้มมากๆ
2. ชาช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญได้ แต่ต้องเป็นชาสมุนไพรอย่างชาอูหลงกับชาเขียวเท่านั้นนะ ไม่รวมชาใส่น้ำตาลเพียบที่วางขายกันโครมๆ นั่นหรอก เพราะชาสมุนไพรมีสารแคททีชินที่กระตุ้นการเผาผลาญ ทำให้ระบบเผาผลาญทำงานเพิ่มขึ้นวันละ 50 แคลอรีหรือเท่ากับเราลดน้ำหนักลงไปได้ปีละ 2 กิโลกรัม
3. ระบบเผาผลาญจะทำงานมากขึ้นช่วงก่อนมีรอบเดือนนี่คือเหตุผลว่าทำไมช่วงนี้สาวๆ ถึงเจริญอาหารอยากกินนั่นนี่ทั้งวัน เพราะหลังจากไข่ตก ฮอร์โมนในตัวเราก็จะเพิ่มขึ้นและเผาผลาญได้มากขึ้นถึง 300 แคลอรีต่อวัน
4. กินโปรตีนมากก็เผาผลาญมาก เพราะการย่อยโปรตีนต้องใช้พลังงานมากกว่าการย่อยคาร์โบไฮเดรต สาวๆ ที่คิดจะลดความอ้วนด้วยการอดโปรตีน สงสัยต้องเปลี่ยนแผนใหม่แล้วมั้ง
ที่มา http://variety.teenee.com/science/13422.html
ปรากฏการณ์ที่คุณเกือบจะนึกออก...แต่"มันติดอยู่ที่ปลายลิ้น"!
ปรากฏการณ์ติดอยู่ปลายลิ้น (tip-of-the-tongue, TOT) หมายถึง การไม่สามารถดึงเอาคำๆ หนึ่งออกมาจากความจำได้โดยเชื่อว่าคำๆ นั้นอยู่ตรงนั้น มันเป็นภาวะทางจิตวิทยาที่สร้างปฏิกริยาทางร่างกายที่เด่นชัดครับ ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นได้ทั่วไป มีรายงานว่าปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นในภาษาพื้นเมืองต่างๆ เช่นฝรั่งเศส โปรตุเกส โรมาเนีย ไทย และภาษาอื่นๆ อีกมากมาย อีกทั้งมันยังขึ้นอยู่กับอายุอีกด้วย มีรายงานว่าคนแก่มักจะเกิดปรากฏการณ์นี้บ่อยกว่านักเรียน นอกจากนี้ปรากฏการณ์ดังกล่าวมักจะเกิดกับคำนามโดยเฉพาะวิสามัญนาม ดังนั้น คนที่เกิดปรากฏการณ์นี้มักจะบอกอักษรตัวแรกของคำๆ นั้นได้และสามารถนึกคำศัพท์ที่คล้ายคลึงกันออก แต่ก็มีคนเพียง 50% เท่านั้นที่สามารถพูดคำดังกล่าวออกมาได้ครับ เนื่องจากคนที่เกิดปรากฏการณ์นี้มั่นใจว่าคำๆ นั้นอยู่ในความจำระยะยาวและสามารถดึงความจำนั้นออกมาได้เพียง 50% บางคนอาจะตั้งข้อสังเกตว่าปรากฏการณ์นี้อาจเป็นผลมาจากการบล็อกกระบวนการดึงความจำที่จำเพาะก็ได้ และที่น่าสนใจก็คือ ในผู้ป่วยที่เป็นโรคอัลไซเมอร์จะไม่สามารถนึกคำศัพท์ที่ใกล้เคียงออกมาได้เลย โรคอัลไซมเมอร์และโรคความจำเสื่อม (dementia) อาจเกี่ยวข้องกับการสูญเสียการดึงความจำในพื้นที่สมองหนึ่งๆ ก็ได้ จากการศึกษาโดยใช้เครื่องถ่ายภาพแม่เหล็กกำทอน (fMRI) ของแมริลและคณะในปี 2001 พบว่า การทำงานของพื้นที่สมองส่วน anterior cingulate cortex และ prefrontal cortex ในคนที่เกิดปรากฏการณ์นี้จะสูงกว่าคนที่จำคำศัพท์นั้นได้ นี่บ่งชี้ว่ากลไกหนึ่งหรือความบกพร่องของพื้นที่สมองหนึ่งอาจทำให้เกิดปรากฏการณ์นี้ได้ครับ แต่นักวิทย์ยังไม่ได้เขียนคำอธิบายที่แน่นอนลงไป
ที่มา http://variety.teenee.com/science/13423.html
ที่มา http://variety.teenee.com/science/13423.html
นักวิจัยชี้ลูกเรียนรู้จากแม่ได้แม้จะยังไม่ตั้งท้อง
มารดาสามารถถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ให้กับลูกได้โดยไม่รู้ตัว ทั้ง ๆ ยังไม่ได้ตั้งท้องลูกเลย โดยนักวิจัยได้ค้นพบปรากฏการณ์อันนี้จากหนูทดลอง
วารสารวิชาการ "ประสาทวิทยาศาสตร์" ของสหรัฐฯ รายงานว่า คณะนักวิทยาศาสตร์ อันมีศาสตราจารย์ลาร์รี เฟก โรงเรียนแพทย์ มหาวิทยาลัยทัพฟ์ เป็นหัวหน้า พบในการศึกษาว่า หนูตัวเมียที่ได้รับการเลี้ยงดูอยู่ในสิ่งแวดล้อมอันพรั่งพร้อมด้วยของเล่นและเครื่องส่งเสริมต่าง ๆ สามารถถ่ายทอดประสบการณ์ สู่ลูก ๆ ของมันที่เพิ่งจะมาตั้งท้องขึ้นภายหลังได้
ศาสตราจารย์วิชาชีวเคมีกล่าวแจ้งว่า ลูกหนูที่เกิดมาเหล่านั้น พากันแสดงให้เห็นว่าได้รับมรดกความรู้ ที่แม่ของมันเคยเรียนรู้มาก่อนบางแง่ เขาอธิบายว่า "การเรียนรู้ทำให้ สมองของหนูที่เป็นแม่เปลี่ยนแปลงไป เกิดความเจริญก้าวหน้าขึ้น โดยเฉพาะเซลล์ประสาทของมันจะสื่อสารกันได้ดีขึ้น และสมองที่ถูกเปลี่ยนแปลงไปนี้ ได้ถ่ายทอดมรดกให้กับลูกที่มันตั้งท้องขึ้นมาภายหลัง เป็นเวลาตั้งหลายอาทิตย์ ลูก ๆ ของมันจะเล่นของเล่น และถีบจักรกันเป็น ถึงจะไม่เคยเห็นเองมาก่อน"
ที่มา http://variety.teenee.com/science/13415.html
วารสารวิชาการ "ประสาทวิทยาศาสตร์" ของสหรัฐฯ รายงานว่า คณะนักวิทยาศาสตร์ อันมีศาสตราจารย์ลาร์รี เฟก โรงเรียนแพทย์ มหาวิทยาลัยทัพฟ์ เป็นหัวหน้า พบในการศึกษาว่า หนูตัวเมียที่ได้รับการเลี้ยงดูอยู่ในสิ่งแวดล้อมอันพรั่งพร้อมด้วยของเล่นและเครื่องส่งเสริมต่าง ๆ สามารถถ่ายทอดประสบการณ์ สู่ลูก ๆ ของมันที่เพิ่งจะมาตั้งท้องขึ้นภายหลังได้
ศาสตราจารย์วิชาชีวเคมีกล่าวแจ้งว่า ลูกหนูที่เกิดมาเหล่านั้น พากันแสดงให้เห็นว่าได้รับมรดกความรู้ ที่แม่ของมันเคยเรียนรู้มาก่อนบางแง่ เขาอธิบายว่า "การเรียนรู้ทำให้ สมองของหนูที่เป็นแม่เปลี่ยนแปลงไป เกิดความเจริญก้าวหน้าขึ้น โดยเฉพาะเซลล์ประสาทของมันจะสื่อสารกันได้ดีขึ้น และสมองที่ถูกเปลี่ยนแปลงไปนี้ ได้ถ่ายทอดมรดกให้กับลูกที่มันตั้งท้องขึ้นมาภายหลัง เป็นเวลาตั้งหลายอาทิตย์ ลูก ๆ ของมันจะเล่นของเล่น และถีบจักรกันเป็น ถึงจะไม่เคยเห็นเองมาก่อน"
ที่มา http://variety.teenee.com/science/13415.html
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)