BoReDD.. DaY

เห้ออ.. เปิดเทอมมาได้1อาทิตย์แล้ว เปิดเรียนก่อนโรงเรียนอื่นตั้ง อาทิตย์นึงแหนะ เบื่อที่สุดเลย!!
มาถึงก็ประเดิมด้วยการบ้าน 8 อย่างของวิชา ภาษาไทย ต่อด้วยรายงานชีวะอีก ยังไม่พอ ไหนจะโครงงานวิทยาศาสตร์ ที่ต้องนำ Present ค่าย 2อีก ตอนกลางวันมีเวลากินข้าวไม่ถึงครึ่งชั่วโมง รีบไปหมดทุกอย่าง
ชีวิตเด็กวิทย์มันเป็นแบบนี้นี่เองเน๊อะ เห้ออ.. พอก่อนแล้วกันการบ้านยังเคลียร์ไม่เสร็จเลย
บ๊าย..บาย... สู้ๆเค้านะเพื่อนๆ

Power point วันแม่

เข้ามาดูกันนะ งานนี้เป็นงานที่ไนล์ตั้งใจทำมากๆเลยแหละ ก็ทำให้แม่ดูในวันแม่อะนะ ลองเข้ามาดูกันแล้วกัน
http://www.uploadd.com/download.aspx?pku=2C759274A1988HICYNQ3LIKB2NS[LG

Crossword

เพื่อนๆ ไนล์มี game "crossword" มาให้เพื่อนๆลองเล่นดูนะ
http://www.uploadd.com/download.aspx?pku=2C759274A1ISRGV4J2562UNHVP8X25

อิเหนา


ชื่อผู้แต่ง : พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย

ลักษณะคำประพันธ์ : กลอนบทละคร

เรื่องย่อ

ตั้งแต่วิหยาสะกำได้ชมรูปภาพของนางบุษบาก็หลงรักนาง และอยากได้นางมาเป็นมเหสี ท้าวกะหมังกุหนิงก็ตามใจลูกส่งทูตไปขอนางบุษบากับท้าวดาหา และเตรียมกองทัพไว้ถ้าท้าวดาหาปฏิเสธก็จะยกทัพไปตีเมืองดาหา ท้าวกะหมังกุหนิงได้เล่าเรื่องราวและขอความช่วยเหลือจากน้องชาย คือ ระตูปาหยัง และท้าวประหมัน ซึ่งระตูทั้งสองก็ทูลขัดค้านแต่ท้าวกะหมังกุหนิงก็ ไม่เปลี่ยนใจเพราะรักลูก
ฝ่ายท้าวดาหาเมื่อปฏิเสธไม่ยอมยกนางบุษบาให้แล้ว ก็มีหนังสือไปขอความช่วยเหลือไปหาท้าวกุเรปัน พระเชษฐา ท้าวกาหลังและท้าวสิงหัดส่าหรี พระอนุชาทั้งสอง ท้าวสิงหัดส่าหรีเมื่อทราบข่าวก็ส่งทหารไปบอกท้าวดาหาว่าไม่ต้องวิตก จะส่งสุหรานากงไปช่วย ฝ่ายเมืองกุเรปันท้าวกุเรปันได้มีหนังสือ 2 ฉบับ ให้ดะหมังนำไปให้อิเหนา 1ฉบับ และให้ระตูหมันหยา 1 ฉบับ แล้วให้กะหรัดตะปาตี ยกทัพไปสมทบกับอิเหนา ช่วยท้าวดาหาทำศึก กะหรัดตะปาตีก็ยกทัพไปคอยอิเหนาที่ชายเมืองหมันหยา ส่วนท้าวกาหลังก็ให้ตำมะหงงกับดะหมังคุมพลยกออกจากเมืองกาหลังมาพบสุหรานากงจากเมืองสิงหัดส่าหรี สองทัพก็สมทบกันยกไปเมืองดาหา

เมื่อท้าวดาหาปฏิเสธไม่ยอมยกนางบุษบาให้ ท้ากะหมังกุหนิงก็เตรียมจัดทัพยกไปตีเมืองดาหา ให้วิหยาสะกำเป็นกองหน้า พระอนุชาทั้งสองเป็นกองหลัง ท้าวกะหมังกุหนิงเป็นจอมทัพ ท้าวกะหมังกุหนิงได้ให้โหรโหรตรวจดูดวงชะตาว่าร้ายดีประกาใด โหรทำนายว่าดวงชะตาของท้าวกะหมังกุหนิงและวิหยาสะกำนั้นถึงฆาต ถ้ายกทัพไปในวันพรุ่งนี้จะพ่ายแพ้แก่ศัตรูแน่นอน ให้เว้นไปซัก 7 วัน แล้วจึงจะพ้นเคราะห์ไปทำศึกได้ แต่ท้าวกะหมังกุหนิงก็ไม่เปลี่ยนใจยังคงยกทัพไป
เมื่อท้าวดาหาทราบข่าวศึกก็ให้ตั้งค่ายรอบกรุงดาหาไว้ ทัพเมืองกะหมังกุหนิงก็ได้ยกทัพมาประชิดเมืองดาหา ท้าวดาหาเมื่อเห็นศึกมาประชิดเช่นนั้นก็รู้สึกน้อยใจอิเหนาว่าศึกครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะอิเหนาเป็นต้นเหตุ สุหรานากงและเสนาเมืองกาหลังเมื่อมาถึงก็เข้าเฝ้าท้าวดาหา สุหรานากงแจ้งให้ท้าวดาหาทราบว่า ท้าวกุเรปันส่งกะหรัดตะปาตีให้สมทบกับทัพอิเหนามาช่วย ท้าวดาหาก็เชื่อว่ากะหรัดตะปาตีนั้นคงมา แต่ไม่เชื่อว่าอิเหนาจะจากหมันหยามาได้ ท้าวดาหาเสนอแนะการทำศึกแก่สุหรานากงว่าไม่ควรออกไปสู้รบนอกเมือง เพราะกองทัพศัตรูกล้ายกมาครั้งนี้ก็ย่อมมีความสามารถมีกำลัง ควรตั้งมั่นไว้ในเมืองก่อน ถ้าทัพต่างๆยกมาช่วยแล้วค่อยตีกระหนาบ ศึกก็จะล่าเลิกไป

อิเหนาเมื่อได้รับหนังสือจากท้าวกุเรปันให้ยกทัพไปช่วยท้าวดาหา ถ้าไม่ยกไปช่วยก็ขาดจากความเป็นพ่อลูกกัน แม้ตายก็ไม่ต้องไปเผา อิเหนาอ่านจบแล้วก็นึกว่า นางบุษบาจะงามแค่ไหน ใครต่อใครจึงมาหลงรัก ถ้างามเหมือนจินตะหราก็สมควรที่จะหลงรัก อิเหนาคิดว่าอีก 7 วันจึงจะยกทัพไปแต่ดะหมังทูลเตือนว่าอาจไปช่วยไม่ทัน อิเหนาจึงจำใจยกทัพไปวันรุ่งขึ้น อิเหนาได้เข้าเฝ้าท้าวหมันหยาซึ่งก็ได้รับหนังสือจากท้าวกุเรปันมีใจความตำหนิพระธิดาและท้าวหมันหยา ถ้าท้าวหมันหยายังเห็นดีเห็นงามไม่ให้อิเหนายกทัพไปช่วยศึกดาหา ก็จะตัดญาติขาดมิตรกัน ท้าวหมันหยาจึงเร่งให้อิเหนายกทัพไปและให้ระเด่นดาหยนคุมทัพจากหมันหยาไปสมทบอิเหนาด้วย

อิเหนาจึงมาลาจินตะหรา สการะวาตี และมาหยารัศมี ทั้งที่ใจไม่อยากจากไป อิเหนาสัญญากับจินตะหราว่าเสร็จศึกจะรีบกลีบมาทันที อิเหนายกทัพจากเมืองหมันหยาไปด้วยความโศกเศร้า และคิดถึงสามนางมาตามทางที่ผ่านไป อิเหนายกทัพสมทบกับกะหรัดตะปาตีที่คอยอยู่แล้วพากันยกไปเมืองดาหา เมื่อถึงแดนดาหาอิเหนาก็หยุดตั้งค่าย ให้ตำมะหงงไปทูลท้าวดาหาว่าจะทำศึกให้เสร็จสิ้นก่อนแล้วจึงจะมาเข้าเฝ้า ท้าวดาหาก็ยินดีเมื่อรู้ว่าอิเหนายกทัพมาแล้ว เพราะรู้ว่าอิเหนาเก่งกล้าสามารถ ย่อมชนะศึกแน่นอน ส่วสุหรานากงก็ยกทัพออกไปสมทบกับอิเหนาแล้วเล่าเรื่องที่ท้าวดาหากล่าวถึงอิเหนาให้ฟัง
ฝ่ายท้าวกะหมังกุหนิงแม้รู้ข่าวว่ามีทัพยกมาช่วยท้าวดาหาแต่ก็ยังไม่เปลี่ยนใจได้เตรียมทำศึกเต็มที่ เมื่อทัพกะหมังกุหนิงประจันทัพกับทัพของอิเหนา ท้าวกะหมังกุหนิงไม่รู้ว่าเป็นทัพของอิเหนาจึงถามว่าผู้ใดคือจรกา อิเหนาจึงตอบว่าจรกามิได้มาด้วย เรายกมาแต่กุเรปันเพื่อมาช่วยน้อง ท้าวกะหมังกุหนิงเมื่อรู้ว่าเป็นอิเหนาก็รู้สึกหวาดหวั่นแต่ก็มีมานะเจรจาตอบ ในที่สุดสังคามาระตะก็ออกต่อสู้กับวิหยาสะกำ และได้ฆ่าวิหยาสะกำตาย ท้าวกะหมังกุหนิงจึงเข้าต่อสู้กับสังคามาระตะ อิเหนาเข้ารับไว้และฆ่าท้าวกะหมังกุหนิงสำเร็จ ระตูปาหยังและท้าวประหมันเห็นเหตุการณ์เป็นดังนั้นจึงยอมแพ้แก่อิเหนา และจะยอมเป็นเมืองขึ้นจะส่งเครื่องบรรณาการมาถวายตามประเพณี อิเหนาก็ได้อณุญาตให้นำศพท้าวกะหมังกุหนิงและวิหยาสะกำกลับไปที่เมืองเพื่อจัดพิธีศพตามประเพณีต่อไป

ประโยชน์และคุณค่าที่ได้รับจากเรื่องนี้

- ให้ความสนุกเพลิดเพลิน

-ให้ความรู้เกี่ยวกับกลอนบทละครและความรู้เกี่ยวกับวรรณคดีมรดกของไทย

-ให้ข้อคิดต่างๆ

Risking

Two sees lay side by side in the fertile soil.

The fiest seed said. " I want to grow! Iwant to send my roots deep in to the soil beneath me, and thrust my sprouts through the earth's crust above me...I want to unfurl my tender buds like banners to announce the arrival of spring... I want to feel the warmth of the sun on my face and the blessing of the moring dew on my petals!"

And so she grew.

The secound seed said, "I am afraid. If I send my root into the ground below, I don't know what I will encounter in the dark. If I push my way through the hard soil above me I may damage my delicate sprouts...what if I let my buds open and snail tries to eat them> And if I were to open my blossoms, a small child may pull me from the ground. No, it is much better for me to wait until it is safe."

And so she waited.

A yard hen scratching around in the early spring ground for food found the waiting seed and promptly ate it.

The MORAL of this story is
Those of us who refuse to risk and grow
get swallowed up by life.

เรื่องย่อ อยู่กับก๋ง

ณ. บ้านสวน พ.ศ.2548 หยก ชายชราวัย 60 ปี ประสบความสำเร็จในอาชีพนักเขียนของตน มีผลงานตีพิมพ์มากมาย ทุกวันนี้เขาอาศัยอยู่กับครอบครัวใหญ่ มีลูกหลานมากมาย เมื่อมองภาพครอบครัวที่อบอุ่นอย่างทุกวันนี้ หยกมักจะย้อนคิดถึงวัยเด็กที่มีเพียงเขาและ ก๋ง ทุกครั้งก๋ง ชายชราชาวจีนที่อพยพเข้ามาประเทศไทย ตั้งแต่สมัยก่อนสงครามโลก ก๋งเป็นช่างฝีมือ ประกอบอาชีพหลักคืองานซ่อมเซรามิค อันเป็นวิชาที่ติดตัวมาจากเมืองจีน ความคิดอ่านที่กว้างไกลและความเมตตาของก๋ง ทำให้ก๋งได้รับการนับหน้าถือตาจากผู้คนมากมายในชุมชนห้องแถวที่อาศัยอยู่ ซึ่งผลบุญนี้ได้ตกมาถึง หยก เด็กกำพร้าที่ก๋งได้อุปการะไว้ หยกเติบโตอย่างอบอุ่นภายใต้การเลี้ยงดูของก๋ง แต่เขาก็ยังรู้สึกถึงความไม่สมบูรณ์ของตัวเอง หยกมักสงสัยว่าทำไมตนจึงไม่มีพ่อแม่เหมือนคนอื่น จนวันหนึ่งหยกได้พบเห็นเด็กกำพร้าที่ถูกเอามาวางทิ้งไว้ หยกจึงได้เข้าใจว่าโลกนี้ยังมีเด็กโชคร้ายอีกหลายคนนัก และเพื่อนเขาบางคนเช่น ป้อม ลูกชายของ คุณนายทองห่อ กับคุณปลัด ที่แม้จะมีพ่อแม่พร้อมหน้า หากหยกได้รู้ความจริงว่าภายใต้รอยยิ้มนั้น มีแต่การปั้นหน้าใส่กัน หยกจึงเข้าใจว่า แท้จริงแล้วการที่เขามีก๋งคอยให้ความรักกับเขาอย่างแท้จริงต่างหากที่ทำให้เขาเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แล้วชุมชนห้องแถวที่ก๋งและหยกอาศัยอยู่เป็นแหล่งรวมคนจีนมากหน้า เพื่อนบ้านที่สนิทกันอยู่ก็คือ เง็กจู ซึ่งเป็นที่ยึดติดกับธรรมเนียมจีนอย่างเหนียวแน่น และไม่ค่อยยอมรับความเปลี่ยนแปลง เง็กจูมีลูกชายคือ เพ้ง และลูกสาวคือ เกียว หลายครั้งที่เง็กจูมีปัญหากับลูก ก๋งจะเป็นคนคอยแก้ปัญหาให้ทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เกียวแหกประเพณีเดิมของผู้หญิงจีน หนีไปเรียนภาคค่ำ หรือตอนที่เพ้งรับ นวล ภรรยาคนไทยเข้าบ้าน จนเง็กจูขู่จะฆ่าตัวตาย ก๋งเป็นคนชี้ทางสว่างให้เง็กจูเห็นและยอมปรับทัศนคติเพื่ออยู่ร่วมกับลูกหลานในโลกปัจจุบันให้ได้ หรือแม้แต่คนไทยบางคนที่มาเช่าบ้านอยู่ในชุมชนจีนนี้ ก๋งก็เป็นคนจีนคนเดียวที่ยื่นมือให้ความช่วยเหลือ ขณะที่คนจีนคนอื่นๆ ตั้งแง่รังเกียจ ไม่ว่าจะเป็น สมพร หญิงสาวผู้โชคร้ายที่หนีออกมาจากซ่องโสเภณี แฉล้ม และไพศาล คู่ผัวเมียที่ทะเยอทะยานในวัตถุจนตกเป็นทาสการพนัน และหาญ กับจำเรียง หนุ่มสาวที่วิวาห์เหาะมาจากกรุงเทพฯชุมชนห้องแถว พ.ศ.2548 หยก กลับไปเยี่ยมชุมชนห้องแถวอีกครั้ง เขาเพ่งมองภาพถ่ายขาวดำของงานวันแซยิด ในห้องแถวหลังเก่าของตัวเอง เรื่องราวเก่าๆ ยังคงฉายชัดอยู่ในความทรงจำของเขา แม้ว่าวันนี้ชุมชนห้องแถวจะเปลี่ยนแปลงและเจริญขึ้นมากกว่าวันก่อนแล้วก็ตาม หน้าห้องแถวห้องหนึ่ง เด็กชายคนหนึ่งนอนอ่านหนังสือให้อากงของตัวเองฟัง หยกนึกถึงภาพตัวเองกับก๋งในวัยเด็ก และยิ้มออกมาเมื่อเห็นชื่อหนังสือ “อยู่กับก๋ง” บนหน้าปก หยกเหม่อมองท้องฟ้าราวกับจะมองหาก๋ง อยากให้ก๋งได้เห็นว่าวันนี้ เขาได้ทำตามสัญญาที่เคยให้ไว้กับก๋งแล้ว

นิทาน เวตาล

ณ ฝั่งแม่น้ำโคทาวรี มีพระมหานครแห่งหนึ่งตั้งอยู่นามว่า ประดิษฐาน ที่เมืองนี้ในสมัยบรรพกาลมีพระราชาธิบดีองค์หนึ่ง ทรงนามว่า ตริวิกรมเสน ได้ครองราไชศวรรย์มาด้วยความผาสุก พระองค์เป็นราชโอรสของพระเจ้าวิกรมเสนผู้ทรงเดชานุภาพเทียมท้าววัชรินทร์ ต่อมาได้มีนักบวชชื่อ ศานติศีล ได้นำผลไม้มาถวายทุกวันมิได้ขาด ซึ่งพระราชาแปลกใจ และได้ไปพบในคืนหนึ่งตามนัด ได้ถามถึงเหตุผลและเพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณ โยคีศานติศีลจอมเจ้าเล่ห์ได้ขอให้พระราชาตริวิกรมเสนนำเวตาลมาให้ตนเพื่อจะประกอบมหายัญพิธีพระราชาผู้มีสัจจะเป็นมั่น ได้ไปนำเวตาลมาให้โยคีเจ้าเล่ห์ แต่เวตาลก็พยายามหน่วงเหนี่ยวด้วยการเล่านิทานทั้งสิ้น ๒๔ เรื่องด้วยกัน ซึ่งแต่ละเรื่องจะมีคำถามให้พระราชาตอบ โดยมีข้อแม้ว่า หากพระราชาทราบคำตอบแล้วไม่ตอบ ศีรษะของพระราชาจะต้องหลุดจากบ่า และหากพระราชาเอ่ยปากพูดเวตาลก็จะกลับไปสู่ที่เดิม และก็เป็นดังนั้นทุกครั้ง ที่พระราชาตอบคำถามของเวตาล เวตาลก็จะหายกลับไปสู่ต้นไม้ที่สิงที่เดิม พระราชาก็จะเสด็จกลับไปเอาตัวเวตาลทุกครั้งไป จนเรื่องสุดท้ายพระราชาไม่ทราบคำตอบ ก็ทรงเงียบไม่พูด เวตาลพอใจในตัวพระราชามาก เพราะเป็นพระราชาผู้ไม่ย่อท้อ ผู้มีความกล้าหาญ ทำให้เวตาลบอกความจริงในความคิดของโยคีเจ้าเล่ห์ ว่าโยคีนั้นแท้จริงแล้ว ต้องการตำแหน่งราชาแห่งวิทยาธร โดยจะเอาพระราชาเป็นเครื่องสังเวยในการทำพิธี และอธิบายถึงวิธีกำจัดโยคีเจ้าเล่ห์ เมื่อพระราชาเสด็จมาถึงโยคีตามที่นัดหมายไว้ ก็ปรากฎว่าโยคีได้เตรียมการทำอย่างที่เวตาลได้บอกกับพระราชาไว้ พระราชาจึงแก้โดยทำตามที่เวตาลได้อธิบายให้พระราชาฟัง พระราชาจึงได้ตำแหน่งราชาแห่งวิทยาธร และเวตาลได้บอกกับพระราชาตริวิกรมเสนว่า "ตำแหน่งนี้ได้มาเพราะความดีของพระองค์ ตำแหน่งนี้จะคอยพระองค์อยู่หลังจากที่ทรงเสวยสุขในโลกมนุษย์จนสิ้นอายุขัยแล้ว ข้าขอโทษในกาลที่แล้วมาในการที่ยั่วยวนประสาทพระองค์ แต่ก็ไม่ทรงถือโกรธต่อข้า บัดนี้ข้าจะถวายพรแก่พระองค์ ขอทรงเลือกอะไรก็ได้ตามใจปรารถนาเถิด" พระราชาก็ตรัสว่า "เพราะเหตุที่เจ้ายินดีต่อข้า และข้าก็ยินดีในความมีน้ำใจของเจ้าเช่นเดียวกัน พรอันใดที่ข้าจะปรารถนาก็เป็นอันสมบูรณ์แล้ว ข้าเพียงแต่อยากจะขออะไรสักอย่างเป็นที่ระลึกระหว่างข้ากับเจ้า นั่นก็คือนิทานที่เจ้ายกปัญหามาถามข้าถึงยี่สิบสี่เรื่อง และคำตอบของข้าก็ให้ไปแล้วเช่นเดียวกัน แลครั้งที่ยี่สิบห้าคือวันนี้ถือเป็นบทสรุป แสดงอวสานของเรื่อง ขอให้นิทานชุดนี้จงมีเกียรติแพร่กำจายไปในโลกกว้าง เวตาลก็สนองตอบว่า “ขอจงสำเร็จ โอ ราชะ บัดนี้จงฟังเถิด ข้าจะกล่าวถึงคุณสมบัติที่ดีเด่นของนิทานชุดนี้ สร้อยนิทานอันร้อยรัดเข้าด้วยกันดังสร้อยมณีสายนี้ ประกอบด้วยยี่สิบสี่เรื่องเบื้องต้น แลมาถึงบทที่ยี่สิบห้า อันเป็นบทสรุปส่งท้าย นับเป็นปริโยสาน นิทานชุดนี้จงเป็นที่รู้จักกันในนามของเวตาลปัญจวิงศติ (นิทานยี่สิบห้าเรื่องของเวตาล) จงมีเกียรติยศบันลือไปในโลก และนำความเจริญมาสู่ผู้อ่านทุกคน ใครก็ตามที่อ่านหนังสือแม้แต่โศลกเดียว หรือเป็นผู้ฟังเขาอ่านก็เช่นเดียวกัน จักรอดจากคำสาปทั้งมวล บรรดาอมนุษย์ทั้งหลาย มียักษ์ เวตาล กุษมาณฑ์ แม่มด หมอผีและรากษส ตลอดจนสัตว์โลกประเภทเดียวกันนี้ จงสิ้นฤทธิ์เดชเมื่อได้ยินใครอ่านนิทาน อันศักดิ์สิทธิ์นี้” พระศิวะได้ฟังเรื่องของต่าง ๆ ของเวตาลจบก็กล่าวชื่นชมในองค์พระราชาตริวิเสนมาก ซึ่งพระศิวะได้สร้างจากอนุภาคโดยให้มาปราบอสูรคนร้ายต่าง ๆ เมื่อพระราชาตริวิกรมเสนได้เป็นจอมราชันแห่งวิทยาธรทั้งโลกและสวรรค์แล้ว ก็เกิดความเบื่อหน่าย หันไปบำเพ็ญทางธรรมจนบรรลุความหลุดพ้น

นมัสการ มาตาปิตุคุณ

ข้าขอนบชนกคุณ ชนนีเป็นเค้ามูล
ผู้กอบนุกูลพูน พดุงจวบเจริญวัย
ฟูมฟักทะนุถนอม บบำราศนิราไกล
แสนยากเท่าไร บคิดยากลำบากกาย
ตรากทนระคนทุกข์ ถนอมเลี้ยงฤดูวาย
ปกป้องซึ่งอันตราย จนได้รอดเป็นกายา
เปรียบหนักชนกคุณ ชนนีคือภูผา
ใหญ่พื้นพสุธรา ก็บเทียบบ่เทียมทัน
เหลือที่จะแทนทด จะสนองคุณานันต์
แท้บูชไนยอัน อุดมเลิศประเสริฐคุณ

คำแปล

อันคุณของบิดามารดานั้นยิ่งใหญ่นัก ตั้งแต่เราได้ถือกำเนิดเกิดมาบนโลกใบนี้ บุคคลแรกที่เราจำความได้สองท่านนี้ ก็คอยฟูมฟัก ทะนุถนอนเลี้ยงดูเราจนเติบใหญ่ แม้บางครั้งจะมีอุปสรรคที่ร้ายแรงเพียงใดท่านก็ไม่เคยหวาดหวั่น ต่อสู้ และฝ่าฟันเพื่อบุตรทุกประการ หากจะเปรียบคุณของบิดามารดานั้นดูยิ่งใหญ่เกินกว่าที่จะยกภูเขาทั้งลูก แผ่นดินทั้งแผ่นมาเทียมได้ มากมายมหาศาลเหลือเกิน แม้การที่เราจะทดแทนบุณคุณทั้งหมดคงจะเป็นไปมิได้ แต่เพียงแค่เรากระทำตนเป็นคนดีของสังคม กตัญญูรู้คุณต่อท่านเท่านี้ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี และยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว

My dream Occupation

In the future. An occupation that I want to be is a diplomat. Because I love to travel so much. I like to speak Enhlish, but I can't speak well. I want to learn about each culture in different countries. I like to talking with many people because it makes me know how they feel,
and what they want. And the last thing is this job is very important for my country.

Tips for speak English faster

Imagine speaking English automatically... without thinking--superfast. The words come out from your mouth fast. You understand instantly. To do this, you must change the way you study English.
Tip 1. Your first action is to stop studying English words. Learn "Phrases" only.
Tip 2. Don't study Grammar, stop studying grammar.
Tip 3. Listen and Answer, not listen and repeat.
Tip 4. Learn the most common English idioms.
Tip 5. Focus your study on real spoken English, Instead of on formal written English.
Tip 6. Listen produces fast speech, not reading.
Tip 7. Simple focus on " high frequency" words, Phrases and Grammar.
*** Learn the 3000 most common words, the 100 most common idioms and the most common English phrases.

ชีวิตใน ม.4

ไนล์ว่าหลายๆคนรวมถึงไนล์ด้วย คิดว่า ชีวิตใน ม.4 คนไม่แตกต่างจากม.ต้นซักเท่าไหร่ แน่แหละ ต้องเรียนหนักขึ้น แต่ก้อไม่คิดว่าจะต้องหนักขนาดนี้ ชีวิตในม.4 สอนไนล์ในหลายๆเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ความเอาใจใส่ในหน้าที่ รู้จักจัดเวลา แม้กระทั่ง คำที่แม่เคยบอกตอน ม.ต้น ว่า ชีวิตเรายังเจออะไรอีกเยอะแยะ แม่ไม่อยากให้หนูท้อกับเรื่องแค่นี้ ตอนนี้ไนล์ว่าไนล์เข้าใจที่แม่พูดแล้ว ไม่ต้องอะไรมากแค่เปรียบเทียบชีวิต ม.ต้น กับ ม.ปลาย ก็เห็นได้ชัดมากแล้ว เคยเป็นยังไงใน ม.ต้น เราก้อต้องเปลี่ยน ให้ดีขึ้น (ถึงแม้จะยังไม่ดีพอก็เถอะ) เห้ออ.. เหนื่อย ยังไงก็เลือกที่จะเรียนสายนี้แล้วก็ต้องสู้ต่อ เพื่อ อนาคต^0^ เย่ๆๆ
สวัดดีคะทุกคน ยินดีต้อนรับเข้าสู่Blogนะ ตอนนี้ไนล์ยังแต่ง Blog ไม่ค่อยเป็น ขอเวลาซักนิดนะ แล้วจะเข้ามาปรับปรุงค่ะ